เรื่องเล่าจากมุมชนบท


เรื่องเล่า ….เมื่อสุขภาพเป็นเรื่องทั้งครอบครัว

เมื่อแสงแดดยามอัสดง ตะวันหย้อยหยาดต่ำลงจะลับทิวขอบเทือกเขาไกลๆ นกน้อยฝูงเล็กๆร้องจิ๊บๆกำลังบินเข้าสู่รังนอน เขียดจะนาน้อยร้องแอ๊บๆกระโดดหยอยๆแล้วมุดหัวเข้าไปในโพรงดินเล็กๆของผืนทุ่งนากว้าง ขอบฟ้าเริ่มมัวแสงเปลี่ยนเป็นสลัวบดบังตาคล้ายมีใครเอากระจกฟ้ากั้นสายตาเราเอาไว้ ฝูงวัวควายที่แทะเล็มหญ้าข้างทางก็เดินเข้าคู่คอกของมัน ชนบท คำว่าชนบท ใครๆอาจให้ความหมายว่า บ้านนอกคอกนา ไม่น่าอยู่มีแต่กลิ่นโคลนสาบควาย ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย แต่สำหรับฉันหรือใครหลายๆคนคงบอกเป็นเสียงเดียวกันกับว่า เขาคนนั้นคิดผิดถนัด หากใครได้เกิดและโต หรือใช้ชีวิตในชนบทอย่างแท้จริงแล้วเขาจะหลงใหลในทุกสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ท้องทุ่งนา ผืนหญ้า พืชเกษตรที่ปลูกไว้ สัตว์เลี้ยงหรือแม้แต่ชาวบ้านที่อยู่ตามชนบทก็ตาม ที่นี่ชนบทที่ฉันอยู่ผู้คนที่นี่ใจดีมากๆๆค่ะ ดังเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ฉันกำลังจะกล่าวถึงนี้ เป็นครอบครัวของผู้ป่วยท่านหนึ่งที่ท่านป่วยด้วยโรค ความดันโลหิตสูง มารับยาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ฉันทำงานอยู่นี้มาประจำไม่เคยผิดนัด ปฏิบัติตัวเป็นอย่างดี แต่ความดันโลหิตก็ยังลงขึ้นๆลงบ้างๆไม่มากมายนัก ท่านอาศัย ณ บ้านเลขที่ ๕๘ หมู่ ๘ บ้านโพนสวรรค์ ตำบลโคกกลาง อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน ฉันได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมเยียนท่านทุกๆปีไม่ใส่สิคะทุกๆครั้งที่ดิฉันขับรถมอเตอร์ไซต์คู่ใจ นสค.ผ่านหน้าบ้านท่าน แล้วก็ต้องขับเลี้ยวเข้าไปเกือบทุกครั้ง  บ้านของท่านเป็นบ้านไม้สองชั้น ด้านบนทำด้วยไม้มุงด้วยสังกะสี ชั้นล่างทำด้วยอิฐฉาบด้วยปูน ทำตาข่ายหน้าต่างรอบบ้าน ด้านหน้าบ้านมีไม้ดอก ไม้ประดับ พืชผักสวนครัว สมุนไพร เต็มไปหมดแล้วแต่จะเลือกกินผักอะไร ด้านข้างทางทิศตะวันออกของบ้านก็เป็นไม้ให้ผล น่าอยู่มาก ทุกครั้งที่ฉันเลี้ยวรถเข้าไปท่านจะให้เกียรติเด็กอย่างนั้นก่อนเสมอ “อ้าวหมอลิไปไสมา ได้หยังกินแลง” ฉันรีบจอดรถยกมือไหว้ท่านแทบไม่ทัน “คุณยายสวัสดีจร้า ไปซื้อปลาทูให้แมวจร้า ยายเฮ้ดหยังหนิ” ท่านก็ก็ตอบคำถามฉันโดยไม่ได้เงยหน้ามามองฉันหรอกคะกำลังง่วนเขี่ยๆเก็บๆทิ้งๆพริกในกระจาดไม้ไผ่ไม่ใบใหญ่ไม่เล็ก หญิงชราร่างท่วม ใบหน้าอิ่มเอม เปื้อนยิ้ม ผิวคล้ำ เหี่ยวย่น บ่งบอกถึงกาลเวลาที่ท่านต่อสู้ชีวิตมากับคู่ชีวิตเพื่อลูกหลานมาจนถึงบั้นปลายชีวิตของท่าน พูดได้ว่าไม้ใกล้ฝั่งก็ได้ มองท่านแล้วก็ทำให้ฉันได้หวนนึกถึงหญิงชราวัย ๘๐ ท่านนึงที่เลี้ยงฉันมาตั้งแต่เล็กจนโต ความรักความห่วงใยไม่ต้องให้พูดถึงเธอเป็นเช่นแม่คนที่สองของฉัน ยายของฉันเองแร่ะ เสียงพูดของท่านทำให้ฉันตื่นจากห้วงคิดในเวลาอันสั้นนั้น “กำลังเลือกพิกตั้วนาง นวยได่เป็นตาเน่ากะเอาทิ่มเทียมันเป็นราตั้ว ยายเก็บมาตากได้หลายแดดแล้ว บางเทียกะลืมพลิกมันเด๊ พิกหน่าบ้านมันหลายเก็บกินบ่ทัน ธรรมดาล่ะเฒ่าละ บางเทือละลืม โรคความดันกะเป็น เฮ็ดได้ซำเฮ็ดได่นั่น ดีกว่าอยู่ซือๆ ออกกำลังกายไปนำตั้วนาง หมอลิกะเก็บเอาไปกินนำเด้อก่อนเมือน่ะนาง” ฉันยิ้มแห้งๆแล้วตอบกลับทันทีด้วยความเกรงใจ”จร้ายาย ขอบคุณจร้า” แล้วฉันก็ถามท่ากลับบ้าง”เอ้า แล้วเฮือนนี่ได้หยังกินแลงจ้า”ท่านก็ตอบโดยยังคงทำงานอขงท่านเช่นเคย “โอ๋ ยายให้เขาเฮ้ดป่นปลาทู ต้มปลาข่อตั้ว ลวกผักตั้ว ผักกะอยู่สวนปลูกไว้หน้าบ้านนี่ล่ะ บ่ต้องเสียเงินซื้อ บ่มีสารพิษ ” ฉันก็ถามกลับทันที”เอ้า ไปเอาปลาข่อมาแต่ไสล่ะจ้า ยาย” ยายไม่ได้ตอบฉันหรอกแต่เป็นลูกสาวของท่านเป็นคนตอบคำถามฉันซึ่งเธอกำลังถือผักกำใหญ่ในมือเตรียมที่เอาไปล้างทำความสะอาดและลวกให้สุกต่อไป ฉันคิดแบบนั้นค่ะ เพราะยายท่านบอกมาแบบนั้น ” ไอ่ เด็กน่อย เขาพากันไปไสเบ็ดตั้ว เลยได้ ปลามาหลายโต หลายอย่างน้ากะเลยเอามาต้ม สูเขากิน กะพอดี ตายายกะกินนำกันโลด ย่อยงาย บ่เค็ม ควมดัน น้ำหนัก ยายกะบ่ขึ้นนำตั้วหมอลิ ปลาทูกะน้าซื้อมาแตตลาดนัดวังอังคารพู่นล่ะ” แล้วเธอก็หันหลังเดินกลับเข้าไปด้านซีกตะวันตกของบ้าน ด้านนั้นเป็นครัวของบ้านหลังนี้ค่ะ ฉันลืมบอกไปว่าฉันกำลังนั่งคุยกับยายที่หน้าบ้านบนตั่งตัวเล็กๆที่สามีของยายเป็นคนทำ (บ้านหลังนี้เศรษฐกิจพอเพียงดีจังฉันคิดในใจ แอบชื่นชมเล็กๆค่ะ) แล้วฉันก็ได้ยินเสียงสาวน้อยคนหนึ่งตะโกนมาจากห้องครัวว่า”แม่ยายๆๆสิกินข่าวเหนียวหรือวาข่าวจ้าว ถ้ากินข้าวเหนียวหนูสิหุงให้ โอ้ะ กินข่าวจ้าวล่ะเนาะ แม่มันจังบ่อ้วน” แล้วเสียงพูดก็เงียบไปได้ยินแต่เสียง เดินไปเดินมาของเด็กสาวตัวน้อยวัยประมาณ สิบขวบกว่าในชุดนักเรียน ฉันอยู่คุยกับคุณยายต่อก็หลายเรื่อง ทั้งเรื่องสัพเพเสระ เรื่องลูกหลานของท่าน เรื่อง อดีตของท่าน บางครั้งท่านก็แสดงสีหน้าท่าทางออกมาบ่งบอกถึงอารมณ์ของท่านได้เป็นอย่างดี บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งน่าบึ้ง บางครั้งแววตาท่านดูเศร้า  แต่ฉันได้แนวคิดจากท่านอย่างหนึ่ง ท่านบอกว่าอดีต ก็คืออดีต หวนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ถ้ารู้แล้วให้จดจำ นำมาปรับปรุงแก้ไข เอาอดีตมาเป็นบทเรียนสอนตัวเราให้เข้มแข็ง ส่วนอนาคต ยายบอกว่าก็ไม่เคยคิดหรอกว่าจะป่วย หรือแก่ได้ขนาดนี่ ก็ดูเอาเถิดหมอลิ ส่วนเรื่องอนาคตก็ให้เป็นเป้าหมาย เราจะได้มีแนวทางดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้า ถ้าท้อแท้จะได้ไม่เหนื่อยมากจนเกินไป ครอบครัวเป็นส่วนสำคัญให้บั้นปลายความชราของท่านมีความสุข ต่อให้ท่านป่วยท่านก็ไม่ท้อ คนอื่นที่เขาป่วยมากกว่าเขาก็ยังอยู่ได ส่วนตัวเราก็ไม่มากมาย เป็นแค่ความดันสูงเอง ทานยาตามหมอสั่ง กิน อยู่ตามคำแนะนำของหมอ ในสมุดก็มีให้อ่าน ข่าวก็มีให้ฟัง ลูกหลานเขาก็ดูแลดี เขารู้ว่า ตายาย ควรจะกินอยู่แบบไหน อยู่ยังไง เท่านี้ตากับยายก็มีความสุขแล้ว คำพูดของยายทำให้ฉันได้นึกถึงยายของฉันบ้าง คนชราก็คงจะคิดแบบนี้เหมือนกันลูกหลานก็กำลังใจ คือความสุข ต่อให้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ได้ยินเสียง ได้รู้ข่าวคราวว่าลูกหลานเป็นอย่างไรก็มีความสุขแล้ว ฉันคงต้องโทรไปหายายแล้วล่ะในคืนนี้ ท่านก็คงจะคิดถึงฉันเหมือนฉันคิดถึงท่านในตอนนี้ ฉันคุยกับยายอีกซักพักก็มืด มีเพียงแสงไฟฟ้าในครัวเรือนในความสว่าง ได้ยินเสียงลูกสาวของท่านเรียกให้ไปกินข้าวเย็น “ยายมาแหม่ะกินข่าวมันสิค่ำโสดจักหน่อยกะนอน ข่าวมันสิย่อยบ่เหมิดท้องสิอืดเด๊ หมอลิมาเด้อกินข่าวแลงนำกันแล่วค่อยเมือ” พร้อมกันนั้นเธอก็เรียกฉันไปกินด้วยฉันก็เกรงใจอิดอออดในตอนแรงเพราะเดินมาจูงแขนไปนั่งล้อมวงด้วย คนอิสานเวลากินข้าวจะปูเสือที่ทำจากพืชชนิดหนึ่ง เรียกว่า ผือ ปูไว้ประมาณสี่ห้าผืนก็มีจาน ถ้วย กับข้าวตามที่ยายเคยบอกไว้ พร้อมกระติ๊บข้าวเหนียวใบใหญ่ นั่งล้อมวงกันประมาณหกถึงแปดคนรวมฉันด้วย เพราะครอบครัวนี้อยู่กันแบบครอบครัวใหญ่มีทั้งลูกสาว ลูกชาย ลูกเคย หลานสาว หลานชาย อีกสามคน รวมทั้งตาและยายด้วย ดูแล้วอบอุ่นมาก ทั้งหมดกินข้าวไปก็คุยเรื่องนั้นเรื่องนี เรื่องละครบ้าง เรื่องรสชาติ อาหารบ้าง ที่ไปที่มาของปลา การเรียนของหลานๆบ้าง จนกระทั่งอิ่มกันทุกคน หลานๆของคุณยายก็เก็บจาน ห้วยกระติ๊บข้าว เสื่อ ไปเก็บในครัว ตบท้ายด้วยการกวาดบ้าน ฉันนั่งคุยกับคุณยายและตาอีกสักพัก ฉันก็ขอลากลับ ก่อนกลับท่านบอกว่า”มื่อหน่ามากินข่าวแลงนำอีกเด้อ เทือได่กินป่นกบ”ฉันตอบยายทันที ” จ้าขอบคุณจ้า มาแน่นอนบ่ต้องให่ไผไปเอิ้นเด้อ”แล้วฉันก็ขอตัวลากับทุกคนกลับบ้าน ฉันลืมเล่าอย่างหนึ่งไปในช่วงกินข้าวด้วยกัน ยายบอกว่ายายจะกินข้าวจ้าวแค่ทับพีเดียวเพราะควบคุมน้ำหนัก ถ้าเป็นข้าวเหนียวก็กินแค่ปั้นมือเดียว อิ่มไม่อิ่มก็กินแค่นี้ ฉันก็เลยให้กำลังใจท่านกลับว่า ดีแล้วล่ะกินเท่านี้น้ำหนักไม่ขึ้น ถ้าน้ำหนักไม่ขึ้นความดันโลหิตก็ไม่ขึ้น ถ้ากินปลาต้ม น้ำพริกปลา ลวกผักแบบนี้น้ำหนักก็ไม่ขึ้นมีแต่ประโยชน์ทั้งนั้น ลูกหลานที่นั่งกินข้าวด้วยกัน ก็เห็นดีเห็นงามกับคำพูดของฉัน พร้อมกันนั้นลูกสาวของท่านก็ยังแสดงออกถึงการชื่นชมคุณยายที่ทำได้แบบนี้ หลังจากที่ฉันขอลากลับฉันก็นั่งมอเตอร์ไซต์คู่ใจ นสค.กลับบ้านพัก รพ.สต. ช่วงระหว่างนั้นฉันก็นึกชื่นชมครอบครัวนี้ในใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ถ้าครอบครัวอื่นๆที่ป่วยไม่ว่าโรคอะไรก็ตามดูแลกันแบบนี้แบบองค์รวมเลยในความคิดของฉันผู้ป่วยก็คงมีกำลังใจมากที่จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่อไป ก็ได้แต่หวังว่า ครอบครัวที่รักและดูแลกันอย่างเห็นอกเห็นใจ เข้าใจกันแบบนี้จะเพิ่มขึ้นๆทีละน้อยๆมากขึ้นๆเรื่อยๆ ฉันก็ได้แต่หวังว่าคงเป็นแบบนั้นซักวันหนึ่ง

ขอขอบคุณครอบครัวของคุณยายท่านนี้รวมทั้งตัวคุณยายเองเป็นอย่างสูงที่กรุณาอนุญาตให้นำเรื่องราวของท่านมาเขียนเป็นเรื่อองเล่า เพื่อสร้างคุณประโยชน์แด่บุคคลอื่นต่อไป

ผู้เขียนเล่าเอง

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น